ดูดน้ำมูกให้เจ้าตัวเล็ก อย่างถูกวิธี พร้อมสังเกตสีน้ำมูกลูก
เมื่อลูกน้อยหายใจครืดคราด น้ำมูกไหล ดูดนมลำบาก คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าควรดูดน้ำมูกให้ลูกอย่างไรดี เพื่อให้ปลอดภัยและลูกไม่เจ็บตัว วันนี้พุงกลมรวมเทคนิคการดูดน้ำมูก รวมถึงความรู้เรื่อง "สีน้ำมูกของลูก" ที่พ่อแม่มือใหม่ควรรู้ไว้ให้แล้วค่ะแล้วค่ะ
ทำไมต้องดูดน้ำมูกให้ลูก?
- เด็กทารกยังไม่สามารถสั่งน้ำมูกได้เอง
- น้ำมูกอุดตันทำให้หายใจลำบาก นอนหลับไม่สนิท ดูดนมไม่สะดวก
- น้ำมูกสะสมอาจเสี่ยงหูอักเสบหรือไซนัสอักเสบ
สีน้ำมูกของลูก บอกอะไรคุณพ่อคุณแม่ได้บ้าง?

- น้ำมูกใส: เริ่มเป็นหวัด, แพ้อากาศ
- น้ำมูกสีเหลือง: ติดเชื้อเล็กน้อย หากไม่มีไข้ อาจหายได้เอง
- น้ำมูกสีเขียว: อาจติดเชื้อแบคทีเรีย ควรพบแพทย์หากมีไข้
- น้ำมูกปนเลือด: โพรงจมูกแห้งเกิน หรือดูดแรงเกินไป
เลือกอุปกรณ์ดูดน้ำมูกแบบไหนดี?

- แบบปากดูด: ควบคุมแรงดูดได้ดี เหมาะกับน้ำมูกเหนียว
- แบบลูกยาง: ใช้ง่าย ราคาประหยัด
- แบบไฟฟ้า: แรงดูดสม่ำเสมอ ใช้ได้กับเด็กหลายวัย
วิธีดูดน้ำมูกอย่างปลอดภัย

- ล้างมือให้สะอาด ก่อนสัมผัสตัวลูกหรือใช้อุปกรณ์
- ใช้น้ำเกลือหยอดจมูก (Normal saline) 1-2 หยด เพื่อให้น้ำมูกอ่อนตัว
- จัดท่าลูกให้นอนตะแคง หรือเอนเล็กน้อย (ไม่ให้ศีรษะต่ำเกินไป)
- ใช้ที่ดูดน้ำมูกตามคำแนะนำของอุปกรณ์
- ดูดเบา ๆ และเร็ว หากลูกเริ่มดิ้นหรือร้อง ควรหยุดพัก
- ทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกครั้ง หลังใช้งาน
เทคนิคให้ลูกไม่กลัว การดูดน้ำมูก

- ใช้เสียงปลอบเบา ๆ ขณะดูด
- เบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ร้องเพลง
- กอดลูกหลังดูดน้ำมูกเสร็จ เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัย
คำแนะนำเพิ่มเติมจากพุงกลม
- ไม่ควรดูดน้ำมูกบ่อยเกินไป (มากกว่า 3-4 ครั้งต่อวัน) เพราะอาจทำให้โพรงจมูกระคายเคือง
- ถ้าน้ำมูกสีเขียวหนา หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์
พุงกลมมีอุปกรณ์ดูดน้ำมูกหลายแบบ

Line: @pungklom | IG: @pungklombabyshop
พุงกลม เมืองทองธานี โทร: 081-845-0120